แสงสุดท้ายแห่ง Prontera Ragnarok สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ

Browse By

แสงสุดท้ายแห่ง Prontera Ragnarok สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ
คือเรื่องราวของวันที่โลกทั้งใบสว่างไสวและมืดมนพร้อมกัน
วันที่มนุษย์ เทพ และปีศาจ ต่างต้องเลือกว่าจะต่อสู้เพื่ออำนาจ… หรือเพื่อหัวใจของตนเอง


🕊️ เสียงกลองศึกที่ดังครั้งสุดท้าย

รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ — เมืองหลวง Prontera ไม่ได้ถูกปลุกด้วยเสียงนกหรือระฆังของโบสถ์
แต่ด้วยเสียงกลองสงครามที่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า

หลังจากเหตุการณ์ใน Morroc และ Yuno โลก Midgard เริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง
ความสมดุลระหว่างแสงและเงาเริ่มแตกแยก
เหล่า Rune Knight จาก Prontera ถูกเรียกระดมพลอีกครั้ง เพื่อรับมือกับพลังลึกลับที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า

พลังนั้นคือ “Fragment of Rebirth” — เศษพลังจากรูนศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลือจากสงครามครั้งเก่า
และใครก็ตามที่ครอบครองมัน จะได้อำนาจเทียบเท่ากับเทพเจ้า


⚔️ สงครามของศรัทธา

กิลด์ใหญ่ทั้งห้าแห่ง Midgard ต่างต้องการครอบครองเศษรูนนี้
ไม่ใช่เพราะอยากครอบงำโลก แต่เพราะเชื่อว่า “หากไม่ใช่เรา โลกจะล่มสลาย”

สงครามครั้งนี้จึงไม่ใช่ศึกของความชั่วกับความดี
แต่คือศึกของ “ศรัทธา” ที่แตกต่างกัน

ผู้คนต่างเชื่อว่าตนคือแสงสุดท้ายของโลก
และนั่นเอง… ที่ทำให้โลกแทบดับ

“แสงสุดท้ายแห่ง Prontera Ragnarok สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ”
จึงเริ่มต้นจากความตั้งใจดี ที่เต็มไปด้วยเลือดและน้ำตา


🌒 การมาถึงของนักพยากรณ์

ในค่ำคืนที่สายฝนโปรยปราย Seren Arven, นักพยากรณ์สาวแห่ง Prontera เดินเข้าสู่ลานหลวง
เธอทำนายไว้ว่า

“เมื่อแสงและเงาเผชิญกันอีกครั้ง
ฟ้าจะไม่แบ่งกลางวันกับกลางคืนอีกต่อไป”

ไม่มีใครเข้าใจคำพูดนั้นจนกระทั่ง… ท้องฟ้าเริ่มแยกออกจริง ๆ
แสงสีทองของ Prontera ปะทะกับพลังมืดจากทิศ Morroc
ทั้งสองพลังมารวมกันกลางอากาศ กลายเป็น “สุริยคราสนิรันดร์”


🔥 สมรภูมิที่กลืนทุกความหวัง

Rune Knight, Wizard, Assassin Cross และ Priest จากทั่วแผ่นดินรวมตัวกันในสนามหลวง
แสงของเวทมนตร์ปะทะกับคมดาบจนพื้นดินลุกเป็นไฟ
แต่ไม่มีฝ่ายใดยอมถอย

เสียงคำรามของ “Fragment of Rebirth” ดังขึ้นกลางฟ้า
มันดูดพลังจากทุกชีวิต
ไม่ว่ามนุษย์หรือปีศาจ… ทุกคนเริ่มอ่อนแรงลงพร้อมกัน

และในวินาทีนั้น ทุกคนต่างเข้าใจว่า

“สงครามนี้ไม่มีผู้ชนะ — มีแต่ผู้ที่สูญเสีย”


💎 ความรักกลางสงคราม

ท่ามกลางเสียงระเบิดและกลิ่นควัน
Seren พบชายคนหนึ่งในชุดเกราะเก่าของ Prontera — เขาคือ Aren, นักรบผู้เคยสู้เคียงข้าง Valkyrie Selthea ในอดีต (จากบทที่ 7)

เขาบาดเจ็บหนัก แต่ยังคงยืนปกป้องธงของเมืองไว้
Seren รีบเข้าช่วย แต่ Aren เพียงยิ้มและพูดว่า

“อย่าร้องไห้เพื่อสงครามที่เจ้าหยุดไม่ได้…
แต่จงยิ้มให้กับคนที่ยังอยู่ตรงนี้กับเจ้า”

เขาวางดาบลง แล้วใช้เลือดของตัวเองวาดวงรูนบนพื้น
รูนนั้นส่องแสงทองพุ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นสัญญาณแห่งการยุติศึก


🧩 แสงที่กลับมาอีกครั้ง

รูนของ Aren ปลุกความทรงจำในใจของผู้คน
ภาพของบ้านที่เคยอยู่ เสียงหัวเราะของครอบครัว
ภาพของเพื่อนที่จากไปในสงครามก่อนหน้า

เสียงของ Seren ดังก้องผ่านเวทขยายเสียงไปทั่วเมือง

“เราทุกคนกำลังต่อสู้กับเงาของตัวเอง!
ไม่มีใครต้องการทำลายโลกนี้จริง ๆ!”

คนจากทั้งสองฝ่ายเริ่มหยุดมือ
แสงและเงาหยุดการปะทะ…
และ “Fragment of Rebirth” ค่อย ๆ สลายตัวไปเอง


🌤️ เมืองที่เหลือเพียงเถ้าถ่าน

เมื่อสงครามสิ้นสุด เมือง Prontera กลายเป็นเมืองที่เงียบที่สุดในประวัติศาสตร์
กำแพงถล่ม โบสถ์แตกครึ่ง แต่ผู้คนยังอยู่

ไม่มีใครประกาศชัยชนะ
เพราะไม่มีใครเหลือพลังจะยกมือขึ้น

แต่พวกเขาทุกคนรู้ว่า — โลกเริ่มต้นใหม่แล้ว

“แสงสุดท้ายแห่ง Prontera Ragnarok สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ”
จึงไม่ได้จบลงด้วยการโห่ร้อง แต่จบลงด้วยเสียงถอนหายใจของมนุษย์ที่ยังมีชีวิต


🕯️ พิธีศพแห่งความเงียบ

หลังสงคราม Seren จัดพิธีรำลึกโดยไม่มีเพลง ไม่มีสวด
เธอเพียงให้ผู้คนเขียน “ชื่อของผู้ที่คิดถึง” ลงบนหินเล็ก ๆ แล้วปล่อยลงแม่น้ำ

หินนับพันก้อนลอยไปพร้อมแสงเทียนที่สะท้อนบนผิวน้ำ
แสงนั้นส่องฟ้าเหนือ Prontera ให้สว่างอีกครั้ง
เหมือนเตือนว่า แม้ไฟสงครามดับลง แต่ไฟแห่งความหวังยังไม่มอด


🌈 ศรัทธาใหม่ของโลก

เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มเข้าใจว่า “การชนะ” ไม่ได้สำคัญเท่าการ “อยู่รอดด้วยหัวใจที่ยังอ่อนโยน”
ศรัทธาใหม่เกิดขึ้นใน Midgard — ศรัทธาที่ไม่ขึ้นกับเทพหรือเวท
แต่ขึ้นกับ “มนุษย์”

พวกเขาเรียกมันว่า “แสงแห่งการให้อภัย”
และตั้งรูปปั้น Aren กับ Seren ไว้กลางจัตุรัส Prontera
เพื่อเตือนว่า ความกล้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด… คือการยอมวางอาวุธ


🧠 บทเรียนจากสงคราม

ไม่มีสงครามใดที่มีผู้ชนะอย่างแท้จริง
เพราะเมื่อมีผู้แพ้… ความเจ็บปวดก็แบ่งครึ่งโลกเสมอ

สงครามครั้งนี้เปลี่ยนโฉมหน้าของ Midgard
ไม่มีใครอยากให้มันเกิดอีก

และจากนั้น โลกก็เริ่มสร้างใหม่
ไม่ด้วยเวท ไม่ด้วยรูน
แต่ด้วย “ความเข้าใจ” และ “หัวใจของคนธรรมดา”


⚙️ แสงที่เกิดจากเศษซาก

จากเศษหินและโบสถ์พัง กลายเป็นอิฐก้อนใหม่ของเมือง
Prontera ค่อย ๆ ฟื้นคืน
เด็ก ๆ กลับมาเล่นในลานที่เคยเป็นสนามรบ
ร้านค้ากลับมาเปิด
เสียงหัวเราะกลับมาแทนเสียงกลอง

เพราะมนุษย์รู้แล้วว่า

“ชัยชนะที่แท้จริง คือการมีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”

ไม่ต่างจากโลกของผู้กล้าที่ลุกขึ้นทุกวัน เพื่อท้าทายโชคชะตาอีกครั้งใน
👉 สมัคร ufabet ล่าสุด โปรโมชั่นจัดเต็ม
สนามที่ไม่เคยมีคำว่าพ่ายแพ้ตลอดกาล มีแต่ “เริ่มใหม่” ทุกครั้งที่ยังมีแรงใจ


💥 ปรากฏการณ์แห่งฟ้าใหม่

หลังสงครามผ่านไป 1 ปี
ในฟ้าเหนือ Prontera ปรากฏแสงสว่างรูปวงแหวน
นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันคือ “Aurora Rebirth”
แต่ผู้คนเรียกมันว่า “รอยยิ้มของโลก”

ทุกครั้งที่แสงนั้นปรากฏ เมืองทั้งเมืองจะหยุดนิ่ง
ไม่มีใครพูด ไม่มีใครร้อง
พวกเขาเพียงยืนมองด้วยน้ำตาแห่งความสุข


🌄 บทสรุปของศรัทธา

“แสงสุดท้ายแห่ง Prontera Ragnarok สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ”
คือคำเตือนของประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครอยากเขียนซ้ำ
ว่าทุกการต่อสู้เพื่อศรัทธา หากขาดความรัก… จะจบด้วยความสูญเสียเสมอ

แต่หากเรามีความรักนำหน้า
แม้โลกจะมืดที่สุด ก็ยังมีแสงให้เดินต่อ

และในแสงสุดท้ายนั้น มนุษย์ก็ได้เรียนรู้ว่า
การชนะศึกภายนอกไม่สำคัญเท่าชนะศึกในใจตนเอง


🏆 แสงแห่งผู้ไม่ยอมแพ้

วันหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งถาม Seren ว่า

“ทำไมเรายังเชื่อในโลก ทั้งที่มันเคยทำร้ายเรา?”

Seren ยิ้มและตอบว่า

“เพราะโลกก็พยายามเหมือนกันลูก…
มันอาจพังบ้าง แต่มันไม่เคยหยุดพยายามจะดีขึ้น”

คำพูดนั้นกลายเป็นคำขวัญของยุคใหม่แห่ง Midgard


🌞 ปิดม่านตำนาน

หลายสิบปีต่อมา Prontera กลายเป็นศูนย์กลางแห่งสันติ
ไม่มีสงคราม ไม่มีเงาแห่งปีศาจ ไม่มีการแบ่งศรัทธา

แสงสุดท้ายที่ครั้งหนึ่งเคยหมายถึงจุดจบ
บัดนี้… กลายเป็น “แสงแห่งการเริ่มต้นใหม่”

“แสงสุดท้ายแห่ง Prontera Ragnarok สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ”
ไม่ได้พูดถึงความพ่ายแพ้ของมนุษย์
แต่มันคือชัยชนะของหัวใจ ที่เลือกจะให้อภัยโลกทั้งใบอีกครั้ง


แสงสุดท้ายแห่ง Prontera Ragnarok สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ
เมืองหลวง Prontera เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบและความรุ่งโรจน์ของมนุษย์ เสียงระฆังจากโบสถ์กลางเมืองเคยขับกล่อมผู้คนให้หลับอย่างปลอดภัยภายใต้แสงดาว แต่ใน “แสงสุดท้ายแห่ง Prontera Ragnarok” ทุกสิ่งกลับถูกกลืนหายไปในเพลิงสงคราม 🔥

เมื่ออาณาจักรถูกฉีกขาดด้วยความโลภและความแค้น เหล่าทหาร นักบวช และนักเวทต่างลุกขึ้นต่อสู้เพื่อ “ความยุติธรรมของตนเอง” จนไม่อาจแยกได้ว่าใครคือฝ่ายธรรมะ ใครคืออธรรม แสงแห่งศรัทธาที่เคยเปล่งประกายเริ่มริบหรี่ เหลือเพียงเงาของผู้คนที่ยังคงต่อสู้ แม้จะไม่รู้ว่า “เพื่อใคร” 🕯️

เสียงดาบปะทะกันกลางลานศักดิ์สิทธิ์ เสียงสวดภาวนาผสมกับเสียงกรีดร้องของผู้สิ้นหวัง มันคือภาพสะท้อนของสงครามที่ไม่มีคำว่าชนะ เพราะทุกฝ่ายต่างสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุด—หัวใจที่เคยเชื่อในความดี

และเมื่อดวงอาทิตย์ดวงสุดท้ายลาลับ “แสงสุดท้ายแห่ง Prontera” ไม่ได้หมายถึงจุดจบของแสง หากแต่เป็นการเริ่มต้นของยุคใหม่ที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ว่า ไม่มีชัยชนะใดเกิดจากการทำลายกัน มีเพียงผู้รอดชีวิตที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับเงาของความเสียใจ… 🌒

🎯 บทส่งท้าย — แสงที่ไม่เคยดับ

และในโลกที่ยังหมุนต่อไป
แสงแห่ง Prontera ยังคงส่องอยู่ทุกคืน
บางครั้งผ่านแสงดาว บางครั้งผ่านแสงเทียนในใจของใครบางคน

แสงนั้นอาจไม่แรงเหมือนแสงอาทิตย์
แต่มันอบอุ่นพอจะทำให้มนุษย์ยิ้มได้
แม้ในวันที่โลกไม่เหลืออะไรนอกจากเถ้าถ่าน

เพราะตราบใดที่เรายัง “ศรัทธาในแสง”
ความมืดก็ไม่มีวันชนะ